พระยอดขุนพลบุเรงนอง

พระยอดขุนพลบุเรงนองรุ่นเก่า ซึ่งปัจจุบันเป็นสุดยอดวัตถุมงคลที่หาได้ยากยิ่ง จากคำบอกเล่าของพระเดชพระคุณหลวงพ่ออุตตมะ แห่งวัดวังก์วิเวการาม อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยท่านได้เคยอ่านพบใน " ตำราโบราณ " ที่อดีตโบราณคณาจารย์ฝ่ายพม่ารามัญ ได้จดบันทึกไว้สืบต่อกันมานานนับเป็นร้อย ๆ ปี มีดังนี้ 

พระยอดขุนพลบุเรงนองของเก่าแก่ดั้งเดิมนั้น เป็นพระพิมพ์ดินดิบผสมว่านยาวิเศษ โดยได้จำลองพุทธลักษณะจาก "พระมหามัยมุนี " (ดังรูปพระพุทธรูปตัวอย่าง) เป็นพระเครื่องที่พระเจ้าบุเรงนอง บรมกษัตริย์ผู้มีพระเดชานุภาพมากแห่งกรุงหงสาวดี ได้โปรดให้ พระมหาฤาษี ภูภูอ่อง ผู้เป็นพระราชครูผู้ใหญ่ ประจำพระราชสำนักแห่งพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งได้สำเร็จมหิทธิฤทธิ์ขั้นสุดยอดด้วยองค์คุณ 4 ประการ คือ ยา ยันต์ ปรอท และ ประคำ จนมีฤทธิ์ มีเดชสูงส่งอย่างยิ่งยวด เป็นผู้จัดสร้างและปลุกเสกขึ้น เพื่อทรงพระราชทานแก่ข้าราชบริพาร และเหล่าทหารหาญ เพื่อใช้ในการศึกสงครามโดยทั่วไป 

             โดยแกะพิมพ์จำลองพุทธลักษณะของพระมหามัยมุนี พระพุทธรูปสำคัญ อันเป็นที่เคารพสักการะสูงสุดของชาวพม่า ที่มีอายุการสร้างเกือบ 2,000 ปี ที่เดิมประดิษฐานอยู่ที่เมืองยะไข่ แต่ต่อมาได้อัญเชิญมาประดิษฐานที่เมืองมัณฑเลย์ ตราบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน 
              ซึ่งพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ปรากฎพุทธคุณอันยอดเยี่ยมดีเด่นในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในทางเมตตา แคล้วคลาด แต่จะเน้นไปในด้าน "อิทธิฤทธิ์" คือทางด้านอยู่ยงคงกระพันชาตรี มหาอุด มหาอำนาจ เป็นหลักใหญ่ จนกระทั่งกองทัพของพระเจ้าบุเรงนอง สามารถปราบปรามหัวเมืองใหญ่น้อยในทุกหนแห่ง จนราบคาบอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในพงศาวดาร ซึ่งนี่ก็เป็นเหตุให้พระเจ้าบุเรงนองได้รับพระสมัญญานามอีกพระนามหนึ่งว่า " ผู้ชนะสิบทิศ " ในเวลาต่อมา โดยพระบุเรงนองนี้ พระฤาษีภูภูอ่องได้บรรจุไว้ที่ถ้ำแถวเมืองมะละแหม่ง ใกล้ชายแดนไทย-พม่า อยู่ 2 ถ้ำด้วยกัน คือ ถ้ำผาบง และ ถ้ำผาพะ แต่ก็ไม่มีผู้ใดทราบว่าถ้ำทั้งสองแห่งนี้อยู่ที่ไหนกันแน่ อนึ่ง พระมหาฤาษีภูภูอ่องนั้น แต่เดิมเคยบวชเป็นพระภิกษุในบวรพระพุทธศาสนา มีนามว่า "ญาณรังสี" แต่ต่อมาพระญาณรังสีพิจารณาเห็นว่าการที่พระภิกษุอยู่ในป่า บางครั้งก็มีเหตุให้จำต้องล่วงอาบัติของพระพุทธองค์อยู่เนือง ๆ ก็ให้รู้สึกไม่สะดวกใจ ด้วยเกรงจะเป็นบาปเป็นกรรม พระญาณรังสีจึงลาสิกขาออกมาถือพรตเป็นฤาษี พร้อมตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์ รักษาศีล 8 ได้เป็นอย่างดีจนบรรลุอภิญญาสมาบัติขั้นสูงสุด จนได้สำเร็จฤทธิ์อภินิหารอันยอดยิ่งด้วยเหตุถึง 4 สถาน คือ 
1. ยา (รอบรู้ในตัวยาสมุนไพร และว่านยาที่มีฤทธิ์ทุกประเภทอย่างเจนจบ ) 
2. ยันต์ (ปรีชาในอักขระคาถายันต์อันศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ) 
3. ปรอท (สำเร็จในการเรียกและใช้ปรอท ธาตุกายสิทธิ์ที่มีฤทธิ์กว่าธรรมดา จนถึงขั้นเหาะเหินเดินอากาศได้ ) 
4. ประคำ (เครื่องช่วยกำหนดจิตภาวนาให้บังเกิดสมาธิจิต อันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาฤทธิ์ ซึ่งเป็นของมีมาเก่าแก่ สืบทอดมาแต่โบราณกาลนับเป็นพัน ๆ ปี ) 
สำหรับเหตุที่หลวงพ่ออุตตมะ (ท่านเป็นพระชาวมอญ ไม่ใช่พม่า และเป็นหนึ่งในพระอาจารย์องค์สำคัญที่สอนในหลวงในการปฏิบัติธรรมด้วยครับ)ได้พระยอดขุนพลบุเรงนองมานั้น เดิมตั้งแต่เมื่อครั้งที่หลวงพ่ออุตตมะยังเดินธุดงค์อยู่ มีเด็กชายชาวกะเหรี่ยงคริสต์คนหนึ่ง (ซึ่งต่อมาได้เป็นหัวหน้ากะเหรี่ยง ) ซึ่งอยู่ในเขตประเทศพม่า ได้ป่วยเป็นโรคร้าย จนเพื่อนบ้านต่างพากันทอดทิ้ง ไม่มีใครกล้ามาดูแล และบังเอิญท่านได้ธุดงค์มาพบเข้า ด้วยความเมตตาหลวงพ่อจึงได้ช่วยรักษาจนหาย ทำให้เด็กชายคนนี้นับถือหลวงพ่ออุตตมะเป็นอย่างยิ่ง กาลต่อมาหัวหน้ากะเหรี่ยงคริสต์รายนี้ได้มาเล่าให้หลวงพ่ออุตตมะฟังว่า (ตอนนั้นหลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยใหม่ ๆ ราวปี พ.ศ.2490 กว่า ) วันหนึ่งขณะที่พวกตนถูกพวกพม่าตามไล่ล่า จนกระทั่งหนีเข้าไปหลบซ่อนในถ้ำ ๆ หนึ่ง แถวเมืองมะละแหม่ง พวกทหารพม่าได้ใช้ปืนกล และอาวุธสงครามยิงกรอกปากถ้ำ เพื่อฆ่าพวกตนให้ตายคาถ้ำ นับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ นัด จนพวกทหารพม่าคิดว่าพวกกะเหรี่ยงที่อยู่ในถ้ำคงจะตายกันไปหมดแล้ว จึงได้ถอยทัพกลับไป ครั้นพอรุ่งเช้าพวกบรรดากะเหรี่ยงที่ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ก็ออกจากที่ซ่อนในถ้ำมาสังเกตุการณ์ เห็นปลอกกระสุน และลูกปืนตกกระจายอยู่เต็มไปหมด แต่ไม่มีกระสุนแม้แต่เพียงนัดเดียว ที่จะวิ่งผ่านเข้ามาถึงข้างในที่พวกตนซ่อนอยู่ได้ ก็แปลกใจ เลยคิดว่าถ้ำแห่งนี้คงต้องมีของดีของวิเศษอยู่แน่ ๆ เลยสำรวจในถ้ำดูว่ามีอะไรดี จึงได้เจอกับ กองพระขนาดย่อม ๆ ที่วางกองกันไว้อยู่ในถ้ำนั้น แต่พวกตนเป็นกะเหรี่ยงคริสต์จึงไม่ทราบว่าคืออะไร จึงได้นำมาให้หลวงพ่ออุตตมะดู เมื่อได้พิจารณาดูหลวงพ่อก็ทราบทันทีว่านี่คือ พระยอดขุนพลบุเรงนอง ที่เคยได้ยินเรื่องราวมานั่นเอง จึงได้สั่งให้หัวหน้ากะเหรี่ยงคนนี้พาคนไปช่วยกันขนพระออกมาจากถ้ำ และนี่เองคือปฐมเหตุแห่งการ แตกกรุ ของพระยอดขุนพลบุเรงนอง สำหรับพระยอดขุนพลบุเรงนองนี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นของดีที่หาได้ยากเป็นอย่างยิ่ง อันเป็นที่ใฝ่ฝันสำหรับบรรดาศิษย์ใกล้ชิดของหลวงพ่ออุตตมะ รวมทั้งผู้ที่รู้ประวัติความเป็นมา เพราะนอกจากผู้ที่รู้ความเป็นมาที่แท้จริง ต่างก็พากันหวงสุด ๆ แล้ว ด้วยระยะเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนานถึง 400 กว่าปีมาแล้ว พระบุเรงนองที่สร้างด้วยเนื้อดินผสมว่าน ได้ชำรุดแตกหักไปเป็นอันมาก จึงทำให้มีน้อยคนนักที่จะได้ครอบครองพระยอดขุนพลที่นับเป็นจักรพรรดิ์พระเครื่องแห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดีอย่างแท้จริง พระบุเรงนองจะมีด้วยกันหลายพิมพ์ทรง ซึ่งจะมีความแปลกอยู่ที่ว่าแต่ละองค์นั้นจะไม่มีองค์ไหนเหมือนกันเลย จะมีความแตกต่างกันไปเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และส่วนใหญ่ด้านหลังองค์พระ จะมีรูปกบอยู่ บางท่านก็เรียกว่า พระบุเรงนองหลังกบ เพราะคนโบราณนั้นให้ความสำคัญกับกบมาก เพราะดินแดนสุวรรณภูมิบริเวณแถบนี้ มีความอุดมสมบูรณ์ในทุกๆอย่าง และสัตว์ที่มีสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ก็คือ "กบ" นั่นเอง  
สำหรับพระองค์ที่โชว์นี้ เป็นวัตถุมงคลของหลวงพ่ออุตตมะรุ่นนี้ นับว่าเป็นของดีที่น่าใช้มากที่สุดอย่างหนึ่งของหลวงพ่อ แต่หลาย ๆ คนไม่ค่อยรู้จัก บางคนก็รู้แต่มองข้ามไป โดยไม่รู้ว่านี่แหละคือ ของวิเศษสุดยอดจริง ๆ ซึ่งมีประวัติความเป็นมาดังนี้ เมื่อประมาณ พ.ศ.2500 กว่า ๆ หลังจากหลวงพ่ออุตตมะได้มาสร้างวัดวังก์วิเวการามแล้ว ได้มีชาวบ้านจากฝั่งพม่าที่มีความนับถือหลวงพ่ออุตตมะนำเอาพระเนื้อดินผสมว่านพิมพ์หนึ่งมาให้ท่านดู โดยบอกว่าได้พระพิมพ์นี้มาจากถ้ำในประเทศพม่า เมื่อได้พิจารณาดูแล้วหลวงพ่อก็บอกว่าเป็นพระเครื่องเก่าแก่ที่มีอายุการสร้างหลายร้อยปี เพื่อสืบพระศาสนา และใช้ในการรบสมัยก่อน ชาวบ้านผู้นั้นจึงได้บอกหลวงพ่อว่า พระพิมพ์นี้ยังมีอยู่ในถ้ำอีกมากมาย และได้ชวนสมัครพรรคพวกไปขนพระพิมพ์นี้ออกมาถวายหลวงพ่อ ซึ่งระหว่างการเดินทางซึ่งต้องย่ำด้วยเท้าเปล่ามาตลอดทางอันแสนยาวนานนั้น พระบางองค์ที่อยู่ในถ้ำ อยู่ในที่เย็นชื้นมาโดยตลอด เมื่อกระทบกับอากาศร้อน และมีการกระทบเทือนจากการขนย้าย ก็เกิดแตกหักชำรุดเสียหายไปเป็นจำนวนไม่น้อย เมื่อได้พระมาแล้ว ท่านได้คัดเอาพระที่มีสภาพสมบูรณ์ มาปลุกเสกอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ได้แจกให้กับลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ไปกราบนมัสการท่าน หลังจากนั้นหลวงพ่อเห็นว่าพระที่แตกหัก และชำรุดก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก หากจะทิ้งไปก็เปล่าประโยชน์ จึงให้ลูกศิษย์เอาพระที่ชำรุดเหล่านั้นไปทำการบดให้ละเอียด แล้วเอามาผสมกับ ผงใบลาน ว่าน เกสรดอกไม้ และผงพุทธคุณของท่านเอง แล้วกดลงบนพิมพ์ที่ทำเลียนแบบพิมพ์ของเก่าขึ้นมาก จากนั้นหลวงพ่อก็ทำการปลุกเสกพระที่สร้างขึ้นอีกเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่ามีพุทธคุณเต็มที่แล้วก็นำออกมาแจกจ่าย พุทธลักษณะของพระผงบุเรงนองออกศึกของหลวงพ่ออุตตมะ สัณฐานคล้ายรูปไข่ผ่าซีก ด้านหน้าเป็นรูปพรพุทธปฏิมากรประทับนั่งขัดสมาธิราบแบบมารวิชัย มีเส้นไขว้เป็นรูปกากบาทบริเวณพระอุระ (อก) เหนือพระอังสา (ไหล่) ทั้ง 2 ข้างปรากฎเส้นเฉียงขึ้นไปดูเหมือนกับสะพายดาบคู่ แต่จริง ๆ แล้วเป็นพุทธลักษณะของพระพุทธปฏิมากรทรงเครื่องแบบศิลปะพม่า ส่วนด้านหลังมีลักษณะอูมเล็กน้อยไม่ปรากฎรายละเอียดและอักขระใด ๆ โดยพระบุเรงนองรุ่นแรกของหลวงพ่ออุตตมะนี้ ทำออกมาเป็น 2สีด้วยกัน คือ สีดำ และสีน้ำตาล ส่วนด้านหลังจะมีทั้งรูปกบและไม่มีรูปกบ พระผงบุเรงนองนี้เป็นพระดีที่น่าใช้ พุทธคุณสูง มีประสบการณ์มาก จึงทำให้มีการเสาะหากันอย่างมากมาจนทุกวันนี้ เพราะเมื่อใครเป็นเจ้าของก็ล้วนแต่หวงแหนทั้งสิ้น โดยหลังจากที่หลวงพ่อได้แจกพระผงบุเรงนองรุ่นแรกนี้จนหมด ก็ได้มีผู้ที่ศรัทธามาขออีกเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อท่านจึงได้ทำพระบุเรงนองรุ่น 2ออกมาด้วย โดยพิมพ์ทรงจะแตกต่างกันเล็กน้อย บริเวณพระพักตร์รุ่น 2 จะคมชัดกว่า มีรายละเอียดในพระพักตร์ชัดเจนกว่ารุ่น 1 ซึ่งไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดก็เป็นพระดีมีประสบการณ์ด้วยกันทั้งคู่ สำหรับองค์นี้จะเป็นสีดำ พระสภาพสวยสมบูรณ์ หนา พิมพ์คมชัดมาก เรียกได้ว่าเป็นพระที่มากด้วยพุทธคุณรอบด้านที่สุดยอด แต่ในราคาบูชาที่ไม่แพงเลย อยากให้หลายๆท่านได้พระที่พุทธคุณดีๆไว้บูชา ในราคาที่พอเช่าหาได้ ลองเสาะหาบูชาดูครับ ยังพอมีให้เช่าอยู่ในหลายๆเว็บโดยเฉพาะสายตรง และน่าจะยังไม่มีของทำเลียนแบบ (ลงหน้าปกหนังสือลานโพธิ์ฉบับปี2549แล้ว) ป้อม ปืนใหญ่ แนะนำพระที่พุทธคุณดีๆไว้ให้บูชา ไม่จำเป็นต้องเสาะหาพระที่เซียนปั่นราคาเพื่อพุทธพานิชย์ เซียนพระส่วนใหญ่รวยแล้วครับ แต่เราๆท่านๆบางคนยังไม่รวยเหมือนเซียน เก็บเงินไว้ในยามที่จำเป็นดีกว่า แต่ก็สามารถครอบครองบูชาพระดีๆ ไว้ได้เหมือนกัน ถ้าเป็นพระบุเรงนองเดิมๆนั้นเนื้อจะค่อนข้างต่างกับที่หลวงพ่อทำใหม่ครับ และราคาก็สูงกว่าด้วย

ตามบันทึกของพระเถราจารย์ฝ่ายพม่ารามัญ ที่จดบันทึกไว้ว่า พระเจ้าบุเรงนองทรงสร้างไว้เพื่อให้มอบให้แม่ทัพนายกอง ทหารหาญ ใช้ในราชการสงคราม ภายหลังเสร็จราชกิจจึงได้นำไปบรรจุไว้ในถ้ำ พระเครื่องพิมพ์นี้สร้างจากดินผสมว่านยาวิเศษ ปลุกเสกโดยมหาฤาษีบูบูอ่อง ที่กล่าวกันว่าท่านสำเร็จอภิญญาสมาบัติ สามารถแสดงฤทธิ์ได้ เดิมได้บวชในพระพุทธศาสนาและเจริญกรรมฐานจนบรรลุอภิญญา มีญาณสมาบัติและได้สึกมาครองเพศฤาษี และใช้ฤทธิ์ในการช่วยเหลือผู้คนรวมถึงการเผยแพร่ศาสนา และพระพิมพ์นี้ได้จำลองมาจากพระมหามัยมุนี พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ทรงเครื่องมหาจักรพรรดิราช เดิมประดิษฐาน ณ อาณาจักรอาระกัน (ยะไข่) ด้านหลังคือรูปมหาฤาษีบูบูอ่อง ที่มีอิริยาบทกำลังเหาะขึ้นไปนมัสการพระมหาธาตุ ทำให้มีชื่อเสียงและสร้างความศรัทธาให้กับพระเจ้าบุเรงนอง รู้จักในวงการพระเครื่องว่า พระบุเรงนองหลังกบ กรุถ้ำ หลวงพ่ออุตตมะ วัดวิเวการาม จังหวัดกาญจนบุรี ได้มาจากถ้ำในเขตประเทศพม่า แล้วนำมาแจกสานุศิษย์ในยุคแรกๆ

พระเจ้าบุเรงนอง กษัตริย์ราชวงศ์ตองอู ผู้ปราบปรามเมืองน้อยใหญ่ทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์ ตามคติพระเจ้าจักรพรรดิราช 
เนื่องจากสมัยโบราณจะแบ่งเมืองออกเป็นสองประเภทคือ เมืองเอกราชและเมืองประเทศราช จึงทำให้ต้องมีการแข่งขันกันเช่นเดียวกับการค้าในสมัยปัจจุบัน แต่โบราณใช้การยึดครองพื้นที่และทรัพยากร ด้วยการชิงชัยด้วยกำลังและสติปัญญา ไม่ได้ใช้กลยุทธชิงชัยด้วยกลไกทางตลาดในเวทีโลกและสร้างคติชาตินิยมอย่างในปัจจุบัน 

พระองค์คือผู้มีสามสิ่งครบถ้วนจึงได้ชื่อว่า “วีรบุรุษ” คือมีปัญญาเป็นเลิศ มีปณิธานยิ่งใหญ่ มีแผนการล้ำลึก ซึ่งใช้สามสิ่งนี้สร้างผลงานจนเป็นที่ประจักษ์ไม่เคยปรากฏว่ามีกษัตริย์พระองค์ใดในภูมิภาคนี้ ทั้งก่อนหน้าและภายหลังรัชสมัยของพระองค์ที่ทำเช่นนี้ได้เทียบเท่าพระองค์ คือ รวมเอาอาณาจักรใหญ่ของชนชาติต่างๆในภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ ไว้ในอำนาจได้ทั้งหมด เช่น อยุธยา ล้านนา ล้านช้าง ไทใหญ่ พม่า รามัญ กัมพูชาและรัฐต่างๆที่เป็นประเทศราชของอาณาจักรที่กล่าวมา รวมทั้งสิ้นถึง133เมือง มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์และสงบร่มเย็นตลอดรัชมัยของพระองค์ 

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ก็ทรงเจริญรอยตามพระเจ้าชนะสิบทิศบุเรงนอง หากนิยมพระนเรศวรมหาราช ก็ต้องมองว่า ใครคือต้นแบบของพระองค์ ซึ่งก็คือพระเจ้าบุเรงนอง พระองค์นี้นี่เอง

พระเจ้าบุเรงนองพระองค์ ทรงนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำคัญสองสิ่งและจะสักการะก่อนออกทำสงคราม คือพระมหามัยมุนี เมืองยะไข่และพระมหาธาตุมุเตา เมืองหงสาวดี เชื่อกันว่าทรงบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองสิ่งนี้ เพื่อให้ได้ชัยชนะและก็เพราะอำนาจบารมีของทั้งสองสิ่งทำให้พระองค์สามารถปราบปรามและมีชัยชนะในการสงครามทุกครั้ง คำบนบานที่เชื่อกันว่าทำให้พระองค์สัมฤทธิ์ผลก็คือ ทรงบนบานขอให้ชนะศึกเพื่อจะได้สร้างเอกภาพให้กับแผ่นดิน จะได้ไม่ต้องมีใครทำการแย่งชิงรบพุ่งทำสงครามให้ได้เดือดร้อนกันอีก เช่นเดียวกับจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่รวบรวมแผ่นดินจีน ยุติสงคราม 7 แคว้น ที่รบพุ่งกันยืดเยื้อยาวนานถึง 255 ปีได้สำเร็จ ซึ่งหากพระนเรศวรมหาราชไม่ทรงสิ้นเสียก่อนเวลาอันควร อาณาจักรไทย อาจเป็นมหาอำนาจที่สานต่อเจตนาของพระเจ้าบุเรงนองอย่างแน่นอน

พระบุเรงนองหลังกบ พระพิมพ์นี้ได้รวมเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และปณิธานของยอดคนไว้ ดังนั้นผู้ที่ได้ครอบครองหรือหามาได้ไว้ในครอบครอง จึงเชื่อได้ว่า ต้องเป็นคนที่มีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ไม่เหมือนคนทั่วไป หากทว่าการได้มาซึ่งการครอบครองนั้น เป็นผลมาจากการได้ทราบประวัติและเจตนาการสร้างที่ชัดเจน

ศาสนาและศิลปะ ไม่มีขอบเขต ไม่แบ่งเชื้อชาติชนชั้น ผู้เข้าถึงสองสิ่งได้ชื่อว่า ไม่มีอคติคือปราชญ์โดยแท้

Visitors: 1,275,702